วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

ประวัติสุนทรภู่

ประวัติสุนทรภู่โดยสังเขป
                     สุนทรภู่ จินตกวีเอกของไทย และของโลก  เกิดเมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาประมาณสองโมงเช้า (๘.๐๐ น.) ซึ่งตรงกับ
   วันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙  ในสมัยรัชกาลที่ ๑ บิดามีนามว่า ขุนศรีสังหาร (พลับ) ส่วนมารดามีนามว่า ช้อย ทำหน้าที่เป็นแม่นมของพระธิดาในกรมพระราชวังหลัง
   เมื่อสุนทรภู่ยังเด็ก บิดาและมารดาได้แยกทางกัน โดยบิดาได้ไปบวชเป็นพระอยู่ที่วัดบ้านกร่ำ อำเภอเเกลง จังหวัดระยอง ส่วนสุนทรภู่อยู่กับมารดาที่วังหลัง  เมื่อสุนทรภู่โต
   พอสมควร มารดาได้นำไปฝากให้เรียนหนังสือที่วัดชีปะขาว หรือวัดศรีสุดารามในปัจจุบัน  ครั้นมีความรู้ดีเเล้ว จึงได้ออกมาเป็นครูสอนหนังสือในวัดชีปะขาว จนอายุได้
   ๑๘   ปี   ก็ไปทำหน้าที่เป็นเสมียน เเต่ว่าเป็นอยู่ได้ไม่นานก็ เกิดต้องโทษเนื่องจากไปรักใคร่ชอบพอกับนางในวังหลัง และต้องติดคุก แต่ก็ติดได้ไม่นาน จึงได้รับการปล่อยตัว
   ชีวิตของสุนทรภู่ในช่วงนั้นจึงต้องร่อนเร่พเนจรไปทั่ว  จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๒ จึงเป็นที่โปรดปรานเนื่องด้วยความสามารถจึงได้เข้ารับราชการให้เป็นที่
   "ขุนสุนทรโวหาร" (ภู่)  เรียกกันสั้นๆ ว่า "สุนทรภู่"  แต่เมื่อสิ้นสมัยรัชกาลที่ ๒ ชีวิตของสุนทรภู่ก็สิ้นวาสนากลับมาร่อนเร่พเนจรอีกครั้ง  และต้องออกบวชตลอดสมัย
    รัชกาลที่ ๓  ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ สุนทรภู่ก็ได้รับความช่วยเหลือ จนได้กลับมารับราชการอีกครั้ง โดยได้รับบรรดาศักดิ์เป็น " พระสุนทรโวหาร "   หลังจากนั้น
    จึงถึงเเก่กรรมเมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๙๘ สิริอายุได้ ๖๙ ปี
                สุนทรภู่เป็นกวีไทยที่มีชื่อเสียง และมีความเป็นเอกในเชิงกลอน ท่านได้รับเกียรติจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)
    ให้ได้รับการยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม หรือนัยหนึ่งคือเป็นกวีเอกของโลก  เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๙   นับว่าท่านเป็นกวีสามัญเพียง
   คนเดียวที่ได้รับการสดุดียกย่องอย่างสูงส่งถึงขั้นเป็นกวีเอกของโลก

ประวัติสุนทรภู่โดยละเอียด แยกตามยุคสมัย
วัยเด็กก่อนรับราชการยุคทองสุนทรภู่ออกบวชบั้นปลายชีวิต


วัยเด็ก (พ.ศ.๒๓๒๙ - ๒๓๔๙): อายุแรกเกิด - ๒๐ ปี
  
                  สุนทรภู่ เป็นบุตรขุนศรีสังหาร (พลับ) นายทหารประจำป้อมปืนพระราชวัง-
   บวรสถานพิมุข (พระราชวังหลัง หรือวังหลัง) และแม่ช้อย แม่นมของพระองค์เจ้าจงกล หรือ

  เจ้าครอกทองอยู่ พระธิดาในกรมพระราชวังหลัง เกิดในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า-
   จุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะเมีย
   จุลศักราช ๑๑๔๘  เวลาสองโมงเช้า (๘.๐๐ น.) ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙   
   ที่บ้านใกล้กำแพงวังหลัง คลองบางกอกน้อย  สุนทรภู่เกิดได้ไม่นานบิดามารดาก็หย่าจากกัน
   ฝ่ายบิดากลับไปบวชที่บ้านกร่ำเมืองแกลง (อ.แกลง จ.ระยองปัจจุบันนี้) ส่วนมารดาคงเป็นนางนม
   ของพระองค์เจ้าจงกล ต่อไป และได้แต่งงานมีสามีใหม่ โดยมีบุตรกับสามีใหม่ ๒ คนเป็นหญิง
   ชื่อฉิมและนิ่ม   ส่วนตัวสุนทรภู่เองก็ได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง ตั้งแต่เล็กแต่น้อย 
   เมื่ออายุสมควรที่จะเรียนหนังสือแล้วก็ได้ไปเรียนหนังสือที่วัดชีปะขาว หรือวัดศรีสุดาราม
   ในปัจจุบัน  หลังจากได้ร่ำเรียนจบแล้ว สุนทรภู่ก็ไปทำหน้าที่เป็นครูสอนหนังสือในวัดชีปะขาว 
   จนกระทั่งอายุได้ ๑๘ ปี  จึงได้ไปรับราชการเป็นเสมียน
                   อย่างไรก็ดี  เนื่องจากสุนทรภู่มีนิสัยเจ้าบทเจ้ากลอน รักในการแต่งกลอน แต่งบทสักวา
   มากกว่าอย่างอื่น จึงทำให้สุนทรภู่ลาออกจากราชการ และกลับไปอาศัยในพระราชวังหลังตามเดิม
   พร้อมทั้งนำตนเองเข้าสู่โลกวรรณกรรม  ทว่าสุนทรภู่ได้เกิดไปรักใคร่กับแม่จันนางข้าหลวงใน
   พระราชวังหลัง  ครั้นความทราบถึงกรมพระราชวังหลัง พระองค์ก็ทรงกริ้ว รับสั่งให้นำสุนทรภู่ และ
   แม่จันไปจองจำทันที แต่ทั้งสองถูกจองจำได้ไม่นาน  เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี
   พ.ศ. ๒๓๔๙ ทั้งสองก็พ้นโทษออกมา เพราะเป็นประเพณีแต่โบราณที่จะมีการปล่อยนักโทษเพื่ออุทิศ
   ส่วนพระราชกุศลแด่พระมหากษัตริย์ หรือพระราชวงศ์ชั้นสูง เมื่อเสด็จสวรรคตหรือทิวงคตแล้ว    
   แม้จะพ้นโทษสุนทรภู่ และแม่จันก็ยังมิอาจสมหวังในรักเพราะผู้ใหญ่ของฝ่ายแม่จันคอยกีดกัน  
  
   ทำให้สุนทรภู่ตัดสินใจไปถวายตัวเป็นศิษย์ของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์
พระโอรสองค์เล็กใน
   กรมพระราชวังหลังซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดบางหว้าใหญ่ หรือวัดระฆังโฆสิตาราม
   ในปัจจุบันนั่นเอง

                       และต่อมาพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ทรงมีรับสั่ง ใช้สุนทรภู่ให้ไปยังเมืองบางปลาสร้อย
   (จังหวัดชลบุรี ในปัจจุบัน) และเป็นการใช้งานอย่างกระทันหัน ชนิดที่สุนทรภู่
   ไม่ทันได้เตรียมตัวเลย  สุนทรภู่ได้เดินทางไปยังเมืองบางปลาสร้อยตามรับสั่ง นอกจากนี้ยังได้ถือ
   โอกาสไปเยี่ยมบิดาซึ่งบวชอยู่ที่วัดป่ากร่ำ เมืองแกลงด้วย  เพราะนับตั้งแต่จำความได้ สุนทรภู่
   ไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อเลย เห็นแต่หน้าพ่อเลี้ยง (สามีใหม่ของแม่ช้อย) ซึ่งไม่ค่อยจะลงรอยสักเท่าใดนัก


คำอธิบายภาพ
ภาพในขณะที่สุนทรภู่ยังอยู่ในวัยเด็ก และกำลังเล่าเรียน
ศึกษาอยู่ที่สำนักวัดชีปะขาว (วัดศรีสุดารามในปัจจุบัน)
                    สุนทรภู่ออกเดินทางโดยนั่งเรือประทุนไปยังเมืองแกลง โดยออกจากกรุงเทพเมื่อเดือน ๓ (เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๔๙) เวลาประมาณเที่ยงคืน ณ ท่าน้ำ
    วัดระฆังโฆสิตาราม โดยมีผู้เดินทาง ๔ คน เป็นศิษย์รุ่นน้อง และคนนำทาง   สุนทรภู่เดินทางในครั้งนี้ใช้เวลานานถึง ๗ เดือน โดยที่สุนทรภู่เดินทางกลับกรุงเทพฯ
    เมื่อเดือน ๙ (เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๓๔๙)  และด้วยเหตุนี้นี่เอง จึงทำให้สุนทรภู่ได้แต่งนิราศเรื่องแรกในชีวิตนั่นคือ นิราศเมืองแกลง โดยแต่งขึ้นในปีพ.ศ.๒๓๕๐
    ขณะมีอายุเพียง ๒๑ ปีเท่านั้น  อย่างไรก็ดี สุนทรภู่ก็เกิดอาการเจ็บป่วยเกือบถึงชีวิต จากการเดินทางครั้งนั้นด้วย



ก่อนรับราชการ (พ.ศ.๒๓๔๙ - ๒๓๕๙): อายุ ๒๑ - ๓๐ ปี


คำอธิบายภาพ
ภาพสุนทรภู่หลังจากที่ได้แต่งงานกับแม่จันไปได้เพียง ๕ เดือนก็มีปากเสียงกัน
เพราะด้วยความเจ้าชู้ และขี้เหล้าของสุนทรภู่  จนกระทั่งสุดท้าย แม่จันก็ได้ขอหย่าร้างสุนทรภู่ไป
               สุนทรภู่หลังจากกลับจากเมืองแกลงแล้ว  สุนทรภู่ก็ได้ไปเป็นมหาดเล็กในพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆังโฆสิตารามเช่นเคย  ในช่วงนี้
    สุนทรภู่ก็สมหวังในรักเมื่อพระองค์เจ้าจงกล หรือเจ้าครอกทองอยู่ได้ไปสู่ขอแม่จันมาเป็นภรรยา และสุนทรภู่ก็ได้แม่จันมาเป็นภรรยาสมใจ  แต่อย่างไรก็ดี เมื่อแต่งงานกัน
    ไปได้เพียง ๕ เดือน  เนื่องด้วยสุนทรภู่เป็นคนเจ้าชู้ ติดเหล้า และมีเพื่อนฝูงมาก ทำให้เริ่มมีปากเสียงกับแม่จัน ยังไม่ทันได้คืนดีสุนทรภู่ก็ต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์
    ไปนมัสการพระพุทธบาทจ.สระบุรี ในวันมาฆบูชาเมื่อขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๓ ปีพ.ศ.๒๓๕๐ (วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๕๐) และนี่เองที่สุนทรภู่ได้แต่งนิราศเรื่องที่ ๒
    ของตนขึ้น คือ นิราศพระบาท  สุนทรภู่ตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์กลับถึงกรุงเทพฯ ในวันแรม ๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีพ.ศ.๒๓๕๐ (วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๕๐)
                    สุนทรภู่มีบุตรกับแม่จัน ๑ คนเป็นชายชื่อพัด  แต่ชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ราบรื่น เพราะสุนทรภู่ยังคงประพฤติตนเป็นคนขี้เหล้า และเจ้าชู้ต่อไป ในที่สุดแม่จันก็ทน
    ไม่ไหว ขอหย่าร้างสุนทรภู่ไป ส่วนพัดนั้น พระองค์เจ้าจงกล (เจ้าครอกทองอยู่) ได้รับอุปการะเลี้ยงดูหนูพัดนั้นไว้  แต่หลังการหย่าร้างแม่จันไม่นาน ก็ไปได้ภรรยาคนที่ ๒
    ชื่อ แม่นิ่ม ชาวสวนบางกรวย และมีบุตรด้วยกัน ๑ คนเป็นชายชื่อตาบ แต่ว่าหลังจากแม่นิ่มคลอดหนูตาบแล้ว ก็เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะตลอดมา และก็ตายไปเมื่อลูกยัง
    อายุน้อยนี่เอง สุนทรภู่ก็กลายเป็นคนขี้เมาจนแทบจะเสียคน เพื่อจะให้ลืมความรักที่ขมขื่น  และก็พาหนูตาบไปฝากไว้ให้เจ้าครอกทองอยู่เป็นผู้เลี้ยงไว้เช่นเคยในวังหลังคู่กับ
    หนูพัด   ส่วนสุนทรภู่ก็หนีไปเพื่อบารมีของหม่อมบุนนาค พระชายาในกรมพระราชวังหลังที่จังหวัด เพชรบุรี  และทำไร่ทำนาอยู่กับหม่อมบุญนาค ดังความตอนหนึ่งใน
   นิราศเมืองเพชร ที่ท่านย้อนรำลึกความหลังสมัยยังหนุ่มว่า
   ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุญนาค
   เมื่อยามยากจนมาได้อาสัย
   มารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไล
   มาทำไร่ทำนาท่านการุญ
                    นักเลงกลอนอย่างท่านสุนทรภู่ ทำไร่ทำนาอยู่นานก็ชักเบื่อ   หลังจากอยู่กับหม่อมบุนนาคมาได้ ๖ ปี  สุนทรภู่ได้เดินทางกลับมากรุงเทพฯอีกครั้ง เมื่ออายุได้ ๒๗ ปี
    โดยมาอาศัยอยู่กับพระองค์เจ้าปฐมวงศ์อีกเช่นเคย แล้วหากินโดยการรับจ้างแต่งเพลงยาว บอกบทสักวา จนถึงบอกบทละครนอก และในช่วงนั้นเองสุนทรภู่ก็ได้แต่งนิทาน
    เรื่องแรกของท่าน (สมัยนั้นเรียกกลอนนิทาน) ได้แก่เรื่อง โคบุตร ความยาว ๘ เล่มสมุดไทย เพื่อถวายแด่พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ การที่เกิดมีนิทานเรื่องใหม่ๆ ทำให้
    เป็นที่สนใจมาก เพราะสมัยนั้นมีแต่กลอนนิทานจักรๆ วงศ์ๆ ไม่กี่เรื่อง ซ้ำไปซ้ำมาจนคนอ่านคนดูรู้เรื่องตลอดหมดแล้ว  นิทานของท่านทำให้นายบุญยัง เจ้าของคณะละคร
    นอกชื่อดังในสมัยนั้น มาติดต่อว่าจ้างสุนทรภู่ ท่านจึงได้ร่วมคณะละครของนายบุญยัง  เป็นทั้งคนแต่งบท และบอกบทเดินทางเร่ร่อนไปกับคณะละครจนทั่ว ดังตอนหนึ่งใน   
    
นิราศสุพรรณคำโคลง ท่านรำลึกถึงครั้งเดินทางกับคณะละครว่า
   บางระมาดมิ่งมิตรครั้ง
   คราวงาน
   บอกบทบุญยังพยาน
   พยักหน้า
   ประทุนประดิษฐาน
   แทนฮ่อง หอเอย
   แหวนประดับกับผ้า
   พี่อ้างรางวัล
                    ต่อมาไม่นาน ในปีพ.ศ.๒๓๕๘  สุนทรภู่ได้เขียนนิทานเรื่องสำคัญที่สุด และมีชื่อเสียงมากที่สุดนั่นคือเรื่อง พระอภัยมณี  ซึ่งมีความยาว ๙๔ เล่มสมุดไทย
    เพียงแต่ว่ายังคงแต่งเพียงช่วงต้นเรื่องเท่านั้น (ช่วงปลายเรื่องนั้น สุนทรภู่แต่งขึ้นเพื่อถวายแด่กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ดูที่ช่วงบั้นปลายชีวิตของท่าน)  
    ซึ่งนิทานเรื่องนี้แปลกแหวกแนวยิ่งกว่านิทานจักรๆ วงศ์ๆ เรื่องใดที่เคยมีมา เป็นนิทานที่มีทุกรสชาติ  ซึ่งจากนิทานเรื่องพระอภัยมณีนี้ ก็ทำให้คณะละครนายบุญยังโด่งดัง
    เป็นพลุ และเป็นที่ต้องการของใครต่อใคร  และแน่นอนชื่อเสียงของท่านสุนทรภู่ก็โด่งดังไปไม่แพ้กันทั่วทั้งกรุงเทพฯ และหัวเมืองใกล้เคียง


ยุคทองสุนทรภู่ (พ.ศ.๒๓๕๙ - ๒๓๖๗): อายุ ๓๑ - ๓๘ ปี



คำอธิบายภาพ
ภาพสุนทรภู่ซึ่งถูกจองจำในคุก หลังจากที่ได้ก่อเรื่อง
ดื่มสุราแล้วเมาอาละวาด และยังชกต่อยญาติผู้ใหญ่ของตน
แต่อย่างไรก็ดี สุนทรภู่ก็ไม่หยุดเขียนงานกวี และได้แต่ง
เสภาขุนช้าง-ขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงามขึ้นในคุกนั่นเอง

คำอธิบายภาพ
ภาพสุนทรภู่ซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็น
พระอาจารย์ของเจ้าฟ้าอาภรณ์ พระโอรสใน
เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ขณะที่เจ้าฟ้าอาภรณ์มี
พระชนมายุได้ ๕ พรรษา

               สุนทรภู่ ได้เข้าสู่ยุคซึ่งตนเองประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต เมื่อเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) เนื่องด้วยพระองค์
    ทรงเป็นมหากวี และทรงสนพระทัยเรื่องการละครเป็นอย่างยิ่ง  ในรัชสมัยของพระองค์ได้มีการกวดขันฝึกหัดวิธีรำจนได้เป็นแบบอย่างของละครรำมาตราบจนทุกวันนี้    
    นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์บทละครขึ้นใหม่อีกถึง ๗ เรื่อง เช่นเรื่องอิเหนา และเรื่องรามเกียรติ์ เป็นต้น  สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในปี พ.ศ.๒๓๕๙
    ในกรมพระอาลักษณ์  หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงสนพระทัยในฝีมือของสุนทรภู่ และยังทรงพอพระทัยในไหวพริบปฏิภาณของสุนทรภู่ด้วย
    เรื่องราวของสุนทรภู่ที่ได้แสดงฝีมือเป็นที่พอพระทัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเล่าว่า  ครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์
    ถึงตอนนางสีดาผูกคอตาย  บทพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ ซึ่งเล่นละครกันมากล่าวบทนางสีดาตอนเมื่อจะผูกคอตายว่า
         เอาภูษาผูกศอให้มั่น
   แล้วพันกับกิ่งโศกใหญ่
   หลับเนตรจำนงปลงใจ
   อรไทก็โจนลงมา
                ต่อไปก็เป็นบทของหนุมานที่ว่า
          บัดนั้น
   วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
   ครั้นเห็นองค์อัครกัลยา
   ผูกศอโจนมาก็ตกใจ
   ตัวสั่นเพียงสิ้นชีวิต
   ร้อนจิตดังหนึ่งเพลิงไหม้
   โลดโผนโจนลงตรงไป
   ด้วยกำลังว่องไวทันที (เชิด)
         ครั้นถึงจึงแก้ภูษาทรง
   ที่ผูกศอองค์พระลักษมี
   หย่อนลงยังพื้นปัถพี
   ขุนกระบี่ก็โจนลงมา
                    พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงติว่าบทเก่าตรงนี้ กว่าหนุมานจะเข้าช่วยเหลือนางสีดาได้ นางสีดาก็คงตายไปแล้ว  จึงทรงพระราชนิพนธ์ตอนนี้ใหม่  
    หวังจะให้หนุมานได้เข้าช่วยเหลือนางสีดาได้โดยเร็ว ทรงแต่งบทนางสีดาว่า
          จึงเอาผ้าผูกผันกระสันรัด
    แล้วพันกับกิ่งโศกใหญ่
    หลับเนตรจำนงปลงใจ
    อรไทก็โจนลงมา
                    แต่แล้วก็เกิดขัดข้องที่ว่า จะแต่งบทหนุมานอย่างไรให้แก้นางสีดาได้โดยเร็ว เหล่ากวีที่ปรึกษาของพระองค์ก็ไม่มีใครสามารถแต่งบทให้เป็นที่พอพระราชหฤทัย         ได้พระองค์จึงโปรดให้สุนทรภู่ซึ่งหมอบเฝ้าอยู่ด้วยลองดู สุนทรภู่ได้แต่งว่า
          ชายหนึ่งผูกศออรไท
    แล้วทอดองค์ลงไปจะให้ตาย
          บัดนั้น
    วายุบุตรแก้ได้ดังใจหมาย
                    ปรากฏว่าเป็นที่พอพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงยกย่องว่าสุนทรภู่แต่งได้เก่ง อีกคราวหนึ่งเมื่อทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ ตอนศึกสิบขุนสิบรถ
    ทรงพระราชนิพนธ์บทในช่วงชมรถของทศกัณฐ์ว่า
          รถที่นั่ง
    บุษบกบัลลังก์ตั้งตระหง่าน
    กว้างยาวใหญ่เท่าเขาจักรวาล
    ยอดเยี่ยมเทียมวิมานเมืองแมน
    ดุมวงกงหันเป็นควันคว้าง
    เทียมสิงห์วิ่งวางข้างละแสน
    สารถีขี่ขับเข้าดงแดน
    พื้นแผ่นดินกระเด็นไปเป็นจุณ
                    ทรงพระราชนิพนธ์มาได้เพียงเท่านี้ ทรงนึกความที่จะต่อไปอย่างไรให้สมกับที่รถใหญ่โตปานนั้นก็นึกไม่ออก จึงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งต่อ สุนทรภู่ก็ได้แต่งต่อว่า
    นทีตีฟองนองระลอก
    กระฉอกกระฉ่อนชลข้นขุ่น
    เขาพระเมรุเอนเอียงอ่อนละมุน
    อนนต์หนุนดินดานสะท้านสะเทือน
    ทวยหาญโห่ร้องก้องกัมปนาท
    สุธาวาสไหวหวั่นลั่นเลื่อน
    บดบังสุริยันตะวันเดือน
    คลาดเคลื่อนจัตุรงค์ตรงมา
                    กลอนบทนี้เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยิ่งนัก  นับแต่นั้นพระองค์ก็ทรงนับสุนทรภู่เป็นกวีที่ปรึกษาด้วยอีกคนหนึ่ง  ทรงตั้งให้
    สุนทรภู่เป็นที่ ขุนสุนทรโวหาร พระราชทานที่ให้ปลูกเรือนหลวงอาศัยที่ท่าช้าง และให้มีตำแหน่งเข้าเฝ้าฯ เป็นเนื่องนิจ  แม้เวลาเสด็จประพาสก็โปรดฯ ให้สุนทรภู่ลงเรือ
    พระที่นั่งไปด้วย  เป็นพนักงานอ่านเขียนในเวลาทรงพระราชนิพนธ์บทกลอน
                    ระหว่างที่สุนทรภู่รับราชการ และพักอยู่ที่เรือนหลวงซึ่งได้รับพระราชทานมานั้น  ก็ได้รับบุตรชายทั้ง ๒ คนคือ พัด และ ตาบ ซึ่งเป็นพี่น้องต่างมารดากัน ที่เดิม
    เจ้าครอกทองอยู่ได้ทรงพระเมตตารับอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้ง ๒ ของสุนทรภู่เอาไว้ให้กลับมาอยู่ด้วยกันที่เรือนหลวงแห่งนี้  แต่ว่ารับราชการไปนานขึ้น เนื่องด้วยสุนทรภู่เป็น
    คนใจกว้าง และมีเพื่อนฝูงมาก ทำให้การเลี้ยงดูสนุกสนานกินเหล้าเมายาเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนญาติผู้ใหญ่ต้องเตือนสุนทรภู่ แต่สุนทรภู่ก็มิได้เชื่อฟัง กลับหาเรื่องชกต่อยญาติ
    ผู้ใหญ่ท่านดังกล่าว จนถูกทูลถวายฎีกากล่าวโทษ  ครั้นความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ทรงกริ้วสุนทรภู่ สั่งให้นำตัวสุนทรภู่ไปขังคุกไว้ ซึ่งถือเป็น
    การเข้าคุกครั้งที่ ๒ ของสุนทรภู่ (ครั้งแรกคือเมื่อติดคุกกับแม่จัน ภรรยาคนแรก) เมื่อราวปีพ.ศ.๒๓๖๗  และในช่วงที่ติดคุกนี้เอง สุนทรภู่ก็ได้แต่งนิทานคำกลอนออกมาขาย
    โดยเป็นบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม ขนาด ๑ เล่มสมุดไทย
                    แต่แล้ว ก็ถึงคราวโชคดีของสุนทรภู่  เมื่อคราหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องหนึ่งเรื่องใดติดขัด แล้วไม่มีผู้ใด
    จะต่อกลอนให้พอพระราชหฤทัยได้ ทำให้พระองค์ทรงมีรับสั่งให้ไปเบิกตัวสุนทรภู่จากคุกเพื่อให้มาช่วยต่อกลอน ซึ่งสุนทรภู่สามารถต่อกลอนให้เป็นที่พอพระราชหฤทัย
    ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ ทำให้พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอภัยโทษแด่สุนทรภู่ และให้เข้ากลับมารับราชการตามเดิม
                    หลังจากที่สุนทรภู่ได้รับพระราชทานอภัยโทษกลับเข้ามารับราชการในตำแหน่งขุนสุนทรโวหาร กวีที่ปรึกษาตามเดิมแล้ว  ในช่วงปลายรัชสมัยของ
    พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯให้สุนทรภู่ไปเป็นพระอาจารย์สอนหนังสือให้แก่ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระโอรสใน
    เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี  ซึ่งในขณะนั้นทรงมีพระชันษา ๕ ปี  สุนทรภู่ได้ถวายพระอักษรเจ้าฟ้าอาภรณ์จนทรงอ่านออกเขียนได้แล้ว  สุนทรภู่จึงได้แต่งสุภาษิตคำกลอนถวาย
    เรื่องหนึ่งคือเรื่อง สวัสดิรักษา ความยาว ๑ เล่มสมุดไทย  ในปีพ.ศ.๒๓๖๗


ยุคออกบวช (พ.ศ.๒๓๖๗ - ๒๓๘๕): อายุ ๓๘ - ๕๖ ปี

                   สุนทรภู่ เข้าสู่ยุคซึ่งถือว่าเป็นจุดพลิกผันทำให้ตนเองต้องตกระกำลำบากอย่างมาก
   ถึงขั้นต้องซัดเซพเนจรไปทั่ว  โดยหลังจากที่สุนทรภู่รับราชการในกรมอาลักษณ์นานถึง ๓ ปี
   เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๖๗  พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต 
   นอกจากแผ่นดินและผืนฟ้าจะร่ำไห้ ไพร่ธรรมดาคนหนึ่งที่มีโอกาสสูงสุดในชีวิต ได้ถึงเป็นกวีที่ปรึกษา
   ในราชสำนักก็พลอยหมดวาสนาไปด้วย  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
   กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
 ทรงพระนิพนธ์ไว้ถึงเหตุที่สุนทรภู่ไม่กล้ารับราชการต่อ
   ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวดังนี้
                  เล่ากันว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์บทละคร
   เรื่องอิเหนา ทรงแบ่งตอนนางบุษบาเล่นธาร เมื่อท้าวดาหาไปใช้บนพระราชทานให้
   พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
 เมื่อครั้นดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ
   กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
 ทรงแต่ง และเมื่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว   
   ถึงวันจะอ่านถวาย พระองค์ทรงมีรับสั่งวานสุนทรภู่ให้ช่วยตรวจดูเสียก่อน สุนทรภู่อ่านแล้วกราบทูลว่า    เห็นดีอยู่แล้ว  ครั้นถึงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จออก เมื่อโปรดให้อ่าน
   ต่อหน้ากวีที่ทรงปรึกษาพร้อมกัน ถึงบทแห่งหนึ่งที่ว่า 
"น้ำใสไหลเย็นแลเห็นตัว
   ปลาแหวกกอบัวอยู่ไหวไหว" 
สุนทรภู่ติว่ายังไม่ดี และขอแก้เป็น "น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา
   ว่ายแหวกปทุมาอยู่ไหวไหว"
 ทรงโปรดตามที่สุนทรภู่แก้ พอเสด็จขึ้นแล้ว    
   พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงกริ้ว และดำรัสว่า เมื่อขอให้ตรวจ ทำไมจึงไม่แก้ไข
   แกล้งนิ่งเอาไปไว้ติหักหน้ากลางคัน เป็นเรื่องที่ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ครั้งหนึ่ง
                   อีกครั้งหนึ่ง รับสั่งให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งบทละครเรื่องสังข์ทอง   ตอนท้าวสามลจะให้ลูกสาวเลือกคู่  ทรงแต่งคำปรารภของท้าวสามลว่า "จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว    
   ให้ลูกแก้วสมมาดปรารถนา" ครั้นถึงเวลาอ่านถวาย 
สุนทรภู่ถามขึ้นว่า "ลูกปรารถนาอะไร"    
   พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องแก้เป็นว่า "จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว ให้ลูกแก้วมีคู่เสน่หา"    
   ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ว่าแกล้งประมาทอีกครั้งหนึ่ง แต่นั้นก็ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
   ทรงมึนตึงต่อสุนทรภู่มาจนตลอดรัชกาลที่ ๒
                   จะว่าโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจเพียงคิดได้ด้วยเฉพาะหน้าตรงนั้นก็ตาม  สุนทรภู่ก็ได้ทำการ
   ไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย ประกอบกับความอาลัยเสียใจหนักหนาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า-
   นภาลัย  สุนทรภู่จึงลาออกจากราชการ ซึ่งในช่วงนั้นสุนทรภู่เริ่มกลับมาตกระกำลำบากเหมือนเมื่อ
   ช่วงก่อนที่จะเข้ารับราชการ  ไม่มีบ้านที่จะอาศัยต้องอาศัยอยู่กับพัด และตาบ ผู้เป็นบุตรกันอยู่
   ๓ คน พ่อลูก
  จะหันหน้าไปพึ่งมารดา (คือแม่ช้อย) ก็เข้ากับพ่อเลี้ยงไม่ได้  จะหันไปพึง

   พระองค์เจ้าปฐม
วงศ์ซึ่งทรงประทับ ณ วัดระฆัง ก็กระดากใจ เพราะพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ทรงมี
   พระชนมายุมากแล้ว 
จะไปเป็นศิษย์วัดเหมือนสมัยยังหนุ่ม ก็ดูจะกระไรอยู่ 
 นอกจากนี้ บรรดาเพื่อนฝูง
   หรือเจ้านายพระองค์ใดก็ไม่กล้ารับอุปการะช่วยเหลือสุนทรภู่ 
เพราะเกรงพระราชหฤทัยใน



คำอธิบายภาพ
ภาพในขณะที่สุนทรภู่ยังอยู่ในวัยเด็ก และกำลังเล่าเรียน
ศึกษาอยู่ที่สำนักวัดชีปะขาว (วัดศรีสุดารามในปัจจุบัน)
                 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงไม่โปรดสุนทรภู่   แม้แต่เจ้าฟ้าอาภรณ์ที่สุนทรภู่เป็นพระอาจารย์สอนหนังสือให้ ก็ยังทรงเมินเฉย ไม่ยอมรับอุปการะ
    ช่วยเหลือทำให้สุนทรภู่ตกระกำลำบาก  จนกระทั่งสุดท้าย สุนทรภู่ตัดสินใจเข้าสู่ใต้ร่มกาสาวพักตร์
  เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณของ
    พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สุนทรภู่ได้เผยความในใจนี้ ในตอนหนึ่งของนิราศภูเขาทองว่า

          จะสร้างพรตอตส่าห์ส่งบุญถวาย
    ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา
    เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา
    ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไป
                   สุนทรภู่ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ  ในปีวอก พ.ศ.๒๓๖๗  ขณะมีอายุได้ ๓๘ ปี ณ วัดระฆังโฆสิตาราม  โดยมีพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ทรงอุปถัมภ์การบวชครั้งนี้
    และเมื่อบวชแล้วก็ได้เริ่มจำพรรษาอยู่ที่วัดเลียบ หรือวัดราชบูรณะ ในปัจจุบันนั่นเอง
                   หลังจากที่ท่านได้อุปสมบทแล้ว  หลังจากที่ได้จำพรรษาในวัดเลียบได้ประมาณปีหนึ่ง ก็ได้ออกจาริกแสวงบุญไปยังที่ต่าง  เล่ากันว่า ท่านได้เดินทางไปยัง
    หัวเมืองต่างๆ หลายแห่ง เช่น เมืองพิษณุโลก เมืองประจวบคีรีขันธ์ จนถึงเมืองถลางหรือภูเก็ต และเชื่อกันว่า ท่านคงจะเขียนนิราศเมืองต่างๆนี้ไว้อย่างแน่นอน
    เพียงแต่ยังค้นหาต้นฉบับไม่พบ  ราวปี พ.ศ.๒๓๗๐ ท่านก็กลับมาจำพรรษาที่วัดราชบูรณะ หรือวัดเลียบ  แต่หลังจากกลับมาอยู่ได้ไม่นาน สุนทรภู่เกิดอธิกรณ์ (ความผิด)
    ขึ้น หลังจากที่สุนทรภู่ได้ไปทะเลาะวิวาทกับพระลูกวัด อาจด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง (บางแห่งสันนิษฐานว่าท่านเมาสุรา) ทำให้ถูกเจ้าอาวาสขับสุนทรภู่ออกจากวัด  
                   สุนทรภู่เมื่อถูกขับออกจากวัดเลียบแล้ว ก็กลับมาอยู่ในสภาพตกระกำลำบาก ไร้ที่อยู่อาศัยอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งสุนทรภู่เริ่มเบื่อหน่ายกับการจำพรรษาที่วัด
    ในกรุงเทพฯ ทำให้ท่านตัดสินใจไปจำพรรษาที่วัดซึ่งห่างไกลจากความเจริญ  โดยที่หลังจากท่านได้รับกฐินในปลายปี พ.ศ.๒๓๗๑ ท่านก็ออกเดินทางไปกรุงเก่า
    (พระนครศรีอยุธยา) ไปพร้อม พัด ลูกชายคนโต โดยที่ลงเรือที่หน้าวัด และก็ออกเดินทางทันที แต่ปรากฏว่าท่านกลับมิได้ตัดสินใจจำพรรษาที่กรุงเก่าตามที่ได้ตั้งใจไว้ 
    อย่างไรก็ดี ท่านเดินทางไปไหว้สักการะพระเจดีย์ภูเขาทอง ซึ่งตั้งอยู่ ณ ที่นั่น พร้อมด้วยหนูพัด ลูกชายคนโตนั่นเอง และหลังจากนั้นสุนทรภู่ก็ได้เดินทางกลับมายัง
    กรุงเทพฯ  แต่ได้ย้ายวัดมาจำพรรษาอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง)  และที่นั่นเอง สุนทรภู่ก็ได้แต่งนิราศภูเขาทอง  อันเป็นนิราศเรื่องเยี่ยมที่สุดของท่าน และเป็น
    วรรณกรรมชิ้นเอกของวงการกวีไทย เพราะได้รับการยกย่องทั้งความไพเราะของบทกลอน และการดำเนินเรื่องที่ซาบซึ้งกินใจ  โดยที่สุนทรภู่ได้บรรยายระยะเวลา ๓ ปี
    แห่งความลำบากของท่านขณะที่ท่านอุปสมบทอยู่  ซึ่งท่านลำบากมากจนแทบเอาชีวิตไม่รอด  โดยท่านรำพันไว้ว่า
          จะสึกหาลาพระอธิษฐาน
    โดยกันดารเดือดร้อนสุดผ่อนผัน
    พอพวกพระอภัยมณี ศรีสุวรรณ
    เธอช่วยกันแก้ร้อนค่อยหย่อนเย็น
    อยู่มาพระสิงหะไตรภพโลก
    เห็นเศร้าโศกแสนแค้นสุดแสนเข็ญ
    ทุกค่ำคืนฝืนหน้าน้ำตากระเด็น
    พระโปรดเป็นที่พึ่งเหมือนหนึ่งพัก
    ดังไข้หนักรักษาวางยาทิพย์
    ฉันทองหยิบฝอยทองไม่ต้องสึก
    ค่อยฝ่าฝืนชื่นฉ่ำดังอำมฤค
    แต่ตกลึกเหลือที่จะได้สบายฯ
                    เมื่อพระสุนทรภู่ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม หรือวัดแจ้ง  ปีพ.ศ.๒๓๗๒ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
    ทรงฝากเจ้าฟ้ากลาง (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงเป็นต้นราชสกุล มาลากุล) และเจ้าฟ้าปิ๋ว
    พระโอรสองค์กลาง และองค์น้อย ซึ่งมีพระชันษาได้ ๑๑ ปี และ ๘ ปีตามลำดับให้เป็นศิษย์ของสุนทรภู่  โดยที่สุนทรภู่ได้สั่งสอนจนพระโอรสทั้ง ๒ ทรงอ่านออกเขียนได้ 
    และนอกจากนี้ สุนทรภู่ยังได้แต่ง เพลงยาวถวายโอวาท ซึ่งเป็นผลงานประเภทกลอนสุภาษิตเพื่อถวายแด่พระโอรสทั้ง ๒ อีกด้วย การมีศิษย์ชั้นเจ้าฟ้าเช่นนี้จึงทำให้
    พระสุนทรภู่อยู่สุขสบายขึ้น  พระสุนทรภู่อยู่วัดอรุณราชวรารามราว ๒ ปี  จึงข้ามฟากมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามหรือวัดโพธิ์  เล่ากันถึงสาเหตุที่
    พระสุนทรภู่ย้ายวัดมาก็เพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงชักชวนให้มาอยู่ด้วยกัน  สมเด็จฯ ทรงเป็นกวีองค์สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์
    พระองค์หนึ่ง เพราะพระองค์ทรงมีความเชี่ยวชาญในการแต่งโคลงกลอน ลิลิต และฉันท์  พระนิพนธ์ของพระองค์นั้นมีมาก ที่สำคัญและมีชื่อเสียงเช่น ลิลิตตะเลงพ่าย,
    กฤษณาสอนน้อง(คำฉันท์), สมุทรโฆษคำฉันท์ (ตอนท้าย) 
เป็นต้น และเนื่องจากสมเด็จฯ ทรงคุ้นเคยกับสุนทรภู่ในฐานะที่เป็นกวีด้วยกัน โดยเฉพาะสมัยที่สุนทรภู่
    เป็นขุนสุนทรโวหารในรัชกาลที่ ๒ ทำให้สุนทรภู่ได้ย้ายที่จำพรรษามาอยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามทันที หลังจากบวชได้ประมาณ ๗ - ๘ พรรษา  ซึ่งในขณะนั้น
    พระสุนทรภู่มีอายุได้ ๔๕ ปี  
                    แต่เมื่อบวชเรียนอยู่ไปได้ไม่นานนัก ชีพจรลงเท้าสุนทรภู่อีกครั้งเมื่อท่านเกิดไปสนใจเรื่องเล่นแร่แปรธาตุ และยาอายุวัฒนะ ถึงแก่อุตสาหะไปค้นหาถึงที่
    ซึ่งการค้นหายาอายุวัฒนะของท่านในครั้งนี้  ทำให้เกิดนิราศวัดเจ้าฟ้า ขึ้นมา โดยที่นิราศวัดเจ้าฟ้าได้บรรยายเรื่องเล่าการไปขุดค้นหายาอายุวัฒนะของท่านที่กรุงเก่า
    (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
) อีกด้วย
                    
ต่อมาไม่นานนัก  สุนทรภู่ก็ได้ไปจำพรรษาที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์  หลังจากที่ได้รับการเชิญชวนจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ พระราชโอรสใน
    พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเคยผนวชที่วัดพระเชตุพนฯ วัดเดียวกันกับสุนทรภู่  แล้วทรงรู้จัก และคุ้นเคยสุนทรภู่เป็นอย่างดี เพราะทรงโปรดสักวาเป็น
    อย่างมาก  และเมื่อพระองค์เจ้าลักขณานุคุณทรงลาผนวชแล้ว  ก็ทรงไปประทับที่วังท่าพระ (ปัจจุบันคือบริเวณมหาวิทยาลัยศิลปากร) และก็ยังทรงชักชวนพระสุนทรภู่
    ให้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์อีกด้วย  เพื่อให้พระองค์สะดวกในการอุปถัมภ์พระสุนทรภู่  โดยระหว่างที่พระสุนทรภู่จำพรรษาที่วัดมหาธาตุฯ นี้ 
    สุนทรภู่ได้แต่งกลอน เฉลิมพระเกียรติพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ  กับ นิราศอิเหนา ตอนบุษบาถูกลมหอบ  ถวายแด่พระองค์เจ้าลักขณานุคุณทั้งสองเรื่อง 
    ต่อมาในปีพ.ศ.๒๓๗๖ สุนทรภู่ได้เดินทางไปนมัสการ พระแท่นดงรัง (ปัจจุบันอยู่ในต.ท่าเรือ อ.ท่าม่วง) ที่จังหวัดกาญจนบุรี  โดยไปพร้อมกับสามเณรกลั่น ลูกเลี้ยง
    โดยที่สามเณรกลั่นนั้นได้แต่ง นิราศพระแท่นดงรัง ขึ้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งได้มีบทกลอนตอนหนึ่งซึ่งได้บอกถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อพระสุนทรภู่ว่า
          พระคุณใดไม่เท่าคุณพระสุนทร
    เหมือนบิดรโดยจริงทุกสิ่งอันฯ

                    ปรากฏว่าหลังจากที่สุนทรภู่ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์มาได้ ๓ ปี 
   พระองค์เจ้าลักขณานุคุณก็ทรงสิ้นพระชนม์ เมื่อปีพ.ศ.๒๓๗๘ ทำให้สุนทรภู่ต้องกลับมาลำบาก
   อีกครั้งหนึ่ง  ครานั้น พระสุนทรภู่ได้ตัดสินใจย้ายที่จำพรรษาจากกวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์    
   มายังวัดสระเกศ เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับมารดาของท่าน (คือ แม่ช้อย) ซึ่งได้ถึงแก่กรรมเมื่อปี
   พ.ศ.๒๓๗๗ และได้เก็บศพไว้ตั้งบำเพ็ญกุศล โดยยังมิได้ฌาปนกิจ  ครั้นถึงปีพ.ศ. ๒๓๗๙     
   ท่านตัดสินใจเดินทางไปยังเมืองสุพรรณบุรี (จ.สุพรรณบุรี) หลังจากที่ได้ทราบข่าวลือว่ามีการค้นพบ
   แร่ชนิดหนึ่งที่จะแปรสภาพให้เป็นทองคำได้   ซึ่งการเดินทางในครั้งนั้นนับเป็นการเดินทางที่น่า
   ตื่นเต้นยิ่งกว่าการเดินทางครั้งที่ผ่านๆมาของท่านสุนทรภู่ เพราะการเดินทางครั้งนั้น ท่านเกือบเอาชีวิต
   ไม่รอดจากฝูงโขลงช้างที่คอยปกป้องรักษา พระเจดีย์ที่สุนทรภู่คาดว่าเป็นที่ซ่อนแร่ดังกล่าว 
   ซึ่งพระเจดีย์นั้น
ตั้งอยู่ในป่าลึกบริเวณเทือกเขาตะนาวศรี รอยต่อชายแดนไทย-พม่า  ซึ่งจากเหตุการณ์
   ในครั้งนั้น ทำให้ท่านสุนทรภู่ได้แต่งนิราศอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง นิราศสุพรรณ ซึ่งเป็นนิราศเพียง
   เรื่องเดียวในชีวิตของสุนทรภู่ ที่ได้แต่งเป็นโคลง
 เพราะตามปกตินิราศของท่านจะแต่งโดยใช้
   กลอนเพลงยาว (ภายหลัง เรารู้จักกันในชื่อ กลอนสุภาพ หรือ กลอนแปด)  แต่ว่าจริงๆแล้ว    
   สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ถึงเหตุที่ สุนทรภู่ใช้โคลง
   ในการแต่งนิราศสุพรรณว่า
                   เมื่อครั้นสุนทรภู่ได้ไปจำพรรษาที่วัดเทพธิดารามนั้น อาจเป็นไปได้ว่าสุนทรภู่ถูก
   สบประมาทว่าแต่งเป็นแต่กลอนเพลงยาว (กลอนสุภาพ หรือกลอนแปด) สุนทรภู่จึงได้ตัดสินใจ
   แต่งนิราศสุพรรณให้เป็นโคลง และแต่งเรื่อง พระไชยสุริยา ซึ่งกำลังแต่งด้วยขณะที่ท่านสุนทรภู่
   จำพรรษาให้เป็นกาพย์ไปด้วย เพื่อพิสูจน์ให้ผู้อื่นเห็นว่าสามารถแต่งโคลง และกาพย์ได้เป็นเช่นกัน
   ไม่ใช่แค่กลอนเพลงยาวเพียงอย่างเดียว
                   หลังจากที่พระสุนทรภู่ได้เดินทางกลับมาจากเมืองสุพรรณบุรี  ท่านก็ไปจำพรรษาอยู่ที่
   วัดสระเกศ จนกระทั่งปีพ.ศ.๒๓๘๓  กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระเจ้าพี่นางเธอของ
   พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ  ทรงมีพระเมตตา และได้อุปถัมภ์พระสุนทรภู่โดยให้ย้ายที่จำพรรษาจาก
   วัดสระเกศมาเป็นวัดเทพธิดาราม ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๓  โดยที่กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ
   ทรงร่วมบริจาคทรัพย์ในการสร้างวัดนี้ และทรงเดินทางไปบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพธิดารามนี้เป็นประจำ    แต่เนื่องด้วยพระองค์ทรงมีพระชนมายุที่สั้น  ทำให้ในปีพ.ศ.๒๓๘๘ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเสด็จ
   สิ้นพระชนม์  อันเป็นการสร้างความโทมนัสให้กับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชบิดา
   ยิ่งนัก
                   ในระหว่างที่ได้รับการอุปการะจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ  พระสุนทรภู่มีจิตใจที่สงบ    
   และปลอดโปร่งมากที่สุด  ฉะนั้นเมื่อกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพทรงพอพระทัยในนิทาน พระอภัยมณี
   ที่สุนทรภู่ได้แต่งค้างไว้ยังไม่จบ ทำให้สุนทรภู่ต้องนำมาแต่งต่อ และขึ้นถวายเดือนละ ๑ เล่มสมุดไทย


คำอธิบายภาพ
ภาพในขณะที่สุนทรภู่ฝันไปว่าตนเองกำลังว่ายน้ำในทะเล
และกำลังจะจมน้ำแล้วมีมือยื่นมาช่วยเหลือ แล้วก็พบว่ามี
เทวดาชวนให้ตนไปอยู่สวรรค์ด้วยกัน ประมาณเป็น
ลางบอกเหตุว่าสุนทรภู่จะต้องตาย
                    นอกจากนี้แล้ว สุนทรภู่ยังเขียน กาพย์พระไชยสุริยา เป็นเรื่องราวสำหรับสอนศีลธรรมซึ่งสะท้อนสังคมในยุคสมัยนั้น  พระสุนทรภู่แต่งออกเป็น ๓ ชนิด
    สำหรับสอนอ่าน ผัน และสะกด  นอกจากนี้เหล่านิทานคำกลอนเรื่องต่างๆที่พระสุนทรภู่แต่งค้างคาไว้เมื่อครั้นรัชกาลที่ ๒ ก็นำออกมาแต่งต่อ ได้แก่เรื่อง สิงหไตรภพ
    ลักษณวงศ์ เป็นต้น
               
     แต่แล้วหลังจากที่สุนทรภู่จำพรรษาได้ไปประมาณ ๓ พรรษา  คืนวันหนึ่งหลังจากที่ท่านสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ท่านจำวัดในกุฎิแล้วฝันไปว่า  ตัวท่านนั้นกำลัง
    ว่ายน้ำอยู่ในทะเลใกล้จะหมดแรงแล้ว  แต่ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งยื่นออกมาฉุดท่านไว้มิให้จมน้ำ ปรากฏว่าเป็นหญิงสาว แล้วพาท่านมาที่วัด  ในฝันท่านเห็นพระศิลาขาวผ่อง
    ดั่งสำลี (คาดว่าเป็นหลวงพ่อขาว พระประธานในพระอุโบสถ วัดเทพธิดาราม) และพระทอง ๒ องค์ล้วนทรงเครื่อง (พระพุทธรูปทรงเครื่องในพระอุโบสถ ที่ประดิษฐาน
    อยู่ ๒ ข้างองค์หลวงพ่อขาว)  โดยที่ในความฝันนั้น ท่านอยู่ในหมู่เทพธิดานางฟ้าที่เข้ามารายล้อมตัวท่าน และต่างชวนท่านไปอยู่บนสวรรค์ แถมบอกท่านอีกว่าชะตาขาด
    จะต้องตายในปีนี้
                    หลังจากพระสุนทรภู่ตื่นจากความฝัน ท่านก็ตกใจมาก รีบจดวัน เดือน ปีที่ท่านฝันทันที ซึ่งตรงกับวันจันทร์ เดือน ๘ ปีขาล พ.ศ.๒๓๘๕ หลังจากนั้นท่านจึง
    แต่งรำพันพิลาป ขึ้น เพื่อเป็นการอำลาชีวิตสมณเพศของท่าน ซึ่งอยู่มานานถึง ๑๘ ปี โดยในรำพันพิลาปได้มีบทกลอนระบุเหตุด้วยดังนี้


          โอ้ยามนี้ปีขาลสงสารวัด
    เคยโสมนัสในอารามสามวสา
    สิ้นกุศลผลบุญกรุณา
    จะจำลาเลยลับไปนับนาน
                    และหลังพรรษาในปีนั้นนี่เอง  พระสุนทรภู่ก็ตัดสินใจลาสิกขาบท ออกมาใช้ชีวิตทางโลกอีกครั้งหลังจากครองสมณเพศนานถึง ๑๘ ปี ซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้
    ๕๖ ปี  แต่ว่าฝันนั้นดูแล้วไม่น่าจะเป็นลางร้าย  กลับเป็นเหมือนลางบอกเหตุว่าสุนทรภู่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก่อนจะถึงวันสุดท้ายของชีวิตต่างหาก


บั้นปลายชีวิต (พ.ศ.๒๓๘๕ - ๒๓๙๘): อายุ ๕๖ - ๖๙ ปี
                   สุนทรภู่ ในช่วงบั้นปลายชีวิต ก็เริ่มมีความเป็นอยู่ดีขึ้น  เมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก
  พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้นทรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้า-
   กรมขุนอิศเรศรังสรรค์  โปรดอุปถัมภ์ให้สุนทรภู่ไปอยู่พระราชวังเดิม ซึ่งพระองค์ประทับอยู่
   ในขณะนั้นด้วย (พระราชวังเดิม คือพระราชวังที่เคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้า-
   ตากสินมหาราช ปัจจุบันเป็นที่ทำการกองทัพเรือ)  ซึ่งทำให้ชีวิตของสุนทรภู่เริ่มมีความเป็นอยู่ดีขึ้น    
   แต่ด้วยนิสัยนักเดินทาง เมื่ออาศัยอยู่ในพระราชวังเดิมนานประมาณ ๔ เดือน ก็เดินทางไปยัง
   เมืองนครชัยศรี (ปัจจุบันคืออ.นครชัยศรี จ.นครปฐม)  เพื่อไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ ก่อนที่จะได้แต่ง
   นิราศพระประธม
 ซึ่งเป็นนิราศเรื่องที่ ๘ ของท่าน บรรยายถึงการเดินทางไปในครั้งนั้น
                   แต่ว่าในปีพ.ศ.๒๓๘๘ หลังจากได้พึ่งพระบารมีสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้า-
   กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ได้ประมาณ ๒-๓ ปี กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพทรงเสด็จสิ้นพระชนม์ 
   ซึ่งนั่นถือเป็นการสูญเสียผู้ที่อุปการะเมตตาสุนทรภู่อีกพระองค์หนึ่ง เพราะท่านได้อุปการะสุนทรภู่
   ให้มีชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และทำให้สุนทรภู่ได้สานต่อผลงานของตนเองที่คั่งค้างไว้
   ให้สำเร็จบริบูรณ์ เป็นที่ประจักษ์สายตาแก่อนุชนรุ่นหลังของไทย  ปรากฏว่าเมื่อปลายรัชกาลที่ ๓
   เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ทรงโปรดให้สุนทรภู่ไปทำธุระส่วนพระองค์ที่เมืองเพชรบุรี
   ในปีพ.ศ.๒๓๙๒  ภายหลังจากที่เคยไปอยู่พึ่งบารมีของหม่อมบุนนาค (ชายาของกรมพระราชวังหลัง)
   ทำนาที่เมืองเพชรมาแล้ว  ซึ่งจากการเดินทางไปเมืองเพชรบุรีครั้งนี้  สุนทรภู่ก็ได้แต่งนิราศเรื่องที่ ๙
   ของท่าน ซึ่งถือเป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิตนั่นคือ นิราศเมืองเพชร                   เมื่อวันพุธขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ตรงกับวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ.๒๓๙๔  พระบาทสมเด็จ-
   พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ทรงมีพระชนมายุได้ ๖๓ พรรษา  และทรงอยู่ในราชสมบัติ
   ประมาณ ๒๗ ปี  ทำให้เหล่าเจ้าฟ้าข้าราชบริพารตัดสินใจเลือก สมเด็จเจ้าฟ้าชายมงกุฎ    
   สมมุติเทวาวงศ์ พงศาอิศวรกษัตริย์ ขัตติยราชกุมาร 
ซึ่งทรงผนวชอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร    
   เป็นเวลานานถึง ๒๗ ปี (ตลอดรัชกาลที่ ๓) ให้ทรงขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระ-
   จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
 รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  และทันทีทันใดที่พระองค์ทรง
   ขึ้นครองราชสมบัติ  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา
   สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒
   ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  โดยทรงโปรดให้ประทับ
   ณ พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)

                   ป็นเวลานานถึง ๙ ปีที่สุนทรภู่ไปพึ่งพระบารมีพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
   ณ พระราชวังเดิม  นับตั้งแต่ลาสิกขาบทเมื่อพ.ศ.๒๓๘๕ และตามเสด็จมา อยู่ที่วังหน้า
   เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้แต่งตั้งสุนทรภู่เป็น   
   เจ้ากรมอาลักษณ์ ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล 
(วังหน้า) มีบรรดาศักดิ์เป็น
   พระสุนทรโวหาร
 ในปีพ.ศ.๒๓๙๔  ขณะมีอายุได้ ๖๕ ปี  โดยระหว่างที่รับราชการ


คำอธิบายภาพ
ภาพในขณะที่สุนทรภู่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และ
ได้ดำรงตำแหน่งมีบรรดาศักดิ์เป็นที่ พระสุนทรโวหาร
เจ้ากรมพระอาลักษณ์ สังกัดพระราชวังบวรสถานมงคล
ขณะมีอายุได้ ๖๕ ปี
                    ณ พระราชวังบวรสถานมงคลนั้น พระสุนทรโวหารได้แต่งบทละครเรื่อง อภัยนุราช ถวายแด่พระองค์เจ้าหญิงดวงประภา พระธิดาในพระบาทสมเด็จ-
    พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และแต่งบทกลอนถวายพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกหลายเรื่อง  เช่นบทเห่กล่อมทั้งหมด ๔ เรื่อง ซึ่งใช้กล่อมเจ้านายขณะที่ทรงพระเยาว์
    ให้ทรงหลับ โดยที่บทเห่กล่อมทั้ง ๔ เรื่องนี้ ใช้กล่อมบรรทมเจ้านายทั้งพระบรมมหาราชวังตลอดสมัยรัชกาลที่ ๔  นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ยังทรงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งเสภาพระราชพงศาวดาร อีกเรื่องหนึ่งด้วย
                    พระสุนทรภู่โวหาร เจ้ากรมพระอาลักษณ์ ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลได้รับราชการไปได้ ๔ ปี  ก่อนที่ท่านจินตกวีเอกของไทย และของโลกผู้นี้จะ
    ถึงแก่อนิจกรรมอย่างเป็นสุข เมื่อปีเถาะ พ.ศ.๒๓๙๘  สิริอายุได้ ๖๙ ปี  ผู้ที่สืบเชื้อสายจากสุนทรภู่นั้นใช้นามสกุลว่า ภู่เรือหงษ์
                    หลังจากท่านสุนทรภู่ถึงแก่อนิจกรรมได้ ๑๓๑ ปี  ท่านได้รับเกียรติจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)
    ให้ได้รับการยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม หรือนัยหนึ่งคือเป็นกวีเอกของโลก  เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๙ ท่านนับเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติ
    เป็น คนที่ ๕  และเป็นสามัญชนคนแรกที่ได้รับเกียรติถึงขั้นเป็นกวีเอกของโลก
   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น